Wednesday, 9 May 2012

Review Eye Palette : M.A.C , Lancome , BSC ใช้อายแชโดว์ ยี่ห้อไหน ดี

สวัสดีค่ะเพื่อนสาว วันนี้เกรซขอนำเสนอรีวิวเกี่ยวกับอายแชโดว์พาเลตท์ที่ซื้อมาล่าสุดค่ะ อย่างที่เคยบอกกันว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การแต่งตาที่สวย มีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การแต่งหน้าดูสมบูรณ์แบบ การใช้อายแชโดว์คุณภาพดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง อะไร ยังไงเนี่ย ลองมาดูกันจ้ะ เริ่มที่
M.A.C  Snow globe Eye Shadows : Sultry
ตลับสวยเก๋
เกรซได้มาตอนเดินเวิ้นเว้ออยู่ที่ดิวตี้ฟรีค่ะ ด้วยความที่เป็นแฟนตัวยงของ M.A.C อยู่แล้ว พอเห็นสีสวยสะดุดตาก็เลยสอยมาเลยในราคา 1700 กว่าๆ ภายในประกอบด้วย อายแชโดว์ประกายมุก 5 สี ได้แก่ ขาวมุก เหลืองทองมุก เขียวเข้มมุก ม่วงมุก ม่วงแดงเข้มมุก มุกเยอะไปมั้ยอ่ะ และมีสี ม่วงเทาดำ แบบด้าน 
สีสันภายในพาเลตท์
เซ็ตนี้น่าจะเหมาะกับคนชอบแต่งตาแบบ Smoky eye เพราะ มีสีเข้มอยู่ถึง 5 สี ส่วนสีขาวมุกเอาไว้ทำไฮไลท์
สีสันบนผิว
ความเห็นส่วนตัว เกรซรู้สึกผิดหวังค่ะ เพราะ 
- เนื้ออายแชโดว์ค่อนข้างแห้ง แต่ไม่ถึงกับเกลี่ยยากนะคะ แต่มันแห้งกว่า M.A.C Royal Asset 6 smokey eyes ที่เกรซเคยใช้ 
- พิกเมนต์สี เกรซว่ามันน้อยไป อย่างสีขาวมุก ทาลงบนเปลือกตาแล้วมันดูบางมาก เหมือนไม่ได้ทาอะไรเลย ส่วนสีทองและสีเขียว โอเคค่ะ เข้าคู่ดู๋ดี๋ โดยส่วนตัวชอบสีทองและเขียวอยู่แล้ว พอให้อภัยได้
- สามสีที่เหลือคือ ม่วงกลาง ม่วงแดงเข้ม และม่วงเทาดำ เกรซว่า การจัดคู่สียังไม่ลงตัว เพราะ น่าจะเปลี่ยนม่วงกลางให้อ่อนกว่านี้ ส่วนสีม่วงเทาดำ ก็น่าจะเข้มได้มากกว่านี้ ถ้าวัตถุประสงค์ของตัวสินค้าต้องการให้แต่งไล่โทนสีในโทนสีม่วง ก็ควรจะให้มันมีระดับเฉดสีที่ห่างกันมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ หากลงสีม่วงกลาง ตามด้วยม่วงเข้มบนเปลือกตา มันเหมือนลงสีเดิมแต่เข้มขึ้นอ่ะค่ะ Sultry แปลว่า ปลุกเร้าอารมณ์ แต่สีม่วงสามเฉดดูเนิบนาบมาก แต่ยังงัยก็ซื้อมาแล้ว เกรซเลยหาสีดำจากพาเลตท์อื่นมาผสมด้วย ก็ดีขึ้นกรุบกริบ
- ราคา ประหนึ่งผสมทองคำแท้ลงไป แพงซะ
ข้อดี M.A.C ออกแบบสีออกมาได้แหวกแนวและไม่ค่อยซ้ำใครทั้งสี ของ ตา แก้ม ปาก ทาแล้วดูโดดเด่น
สรุป ถ้าคิดจะซืื้ออายแชโดว์ M.A.C ต่อไป ก็จะซื้อทีละสีเลือกเองตามใจชอบดีกว่า ยังงัยก็รัก M.A.C ค่ะ
Lancome Eyes Virtuose
ตลับเหมือนพาเลตท์อื่นๆของลังโคม
ก่อนหน้านี้เกรซเคยใช้พาเลตท์ของลังโคมที่มีทั้ง ตา แก้ม ปาก แล้วติดใจ เพราะ อายแชโดว์สีสวย เกลี่ยง่ายและติดทน พอเห็นพาเลตท์ชุดนี้ก็เลยสอยมาในราคา พันกว่าๆไม่ถึงพันห้า จำไม่ได้แน่ชัด
สีสันภายในพาเลตท์
ดูเผินๆ สีสันค่อนข้างแต่งง่าย และแต่งได้หลากหลาย สีส้มอ่อน ชมพูม่วงอ่อน แต่งหวานๆ สีน้ำตาลกลางแต่งแบบธรรมชาติ สีขาวเป็นไฮไลท์ ส่วนสีน้ำเงินและเทาเข้าคู่กันสามารถแต่งแบบสโมคกี้ก็คงสวยน่าดู ทั้ง 6 สีมีส่วนผสมของประกายมุกในระดับต่างกันไป 
สีสันบนผิว
และพอใช้แล้ว ดิฉันก็พบว่า
-ฝั่งขวาตลกกว่า (มุกเยอะ) ฝั่งซ้ายมุกน้อย ไม่ค่อยฮา แต่ขอบอกว่า สีน้ำตาล น้ำเงินและเทา ทาแล้วสวยค่ะ ไม่เข้มและไม่อ่อนจนเกินไป หากต้องการให้เข้มขึ้น ก็เพียงใช้ดินสอเขียนขอบตาสีเข้ม ทาแล้วเกลี่ยซ้ำได้
- ส่วนสีส้มอ่อนและชมพูอ่อน เกรซว่ามันอ่อนไปนิดนึง เวลาทาลงไปจะเห็นเป็นสีมุก ออกประกายส้มและ ชมพู นิดๆ คือสีมันดูใกล้เคียงกับสีขาวมุก แล้วจะทำมาเพื่ออะไรกันจ๊ะอิลังโคม ดังนั้น เกรซจะใช้ฝั่งขวาเป็นสีแรก ตามด้วยสีเข้มอื่นๆ
สรุป ซื้อได้ใช้ดี ถ้าราคาถูกกว่านี้ จะรักมากกว่านี้ โอเคป่ะ
มาถึงชิ้นต่อไป ชิ้นนี้ เซอร์ไพร์สเดี๊ยนมาก
BSC Legend of Eye Colors ชุด Tropical Orange โทนส้มทอง
ตลับส้มทองน่าใช้
จริงๆเกรซรู้มาตั้งนานแล้วค่ะว่า อายแชโดว์ยี่ห้อนี้ดี สีสวย เกลี่ยง่าย แต่ด้วยความที่ดาวเรืองมัวแต่หลงแสงสีเมืองกรุง ใช้แต่ M.A.C Nars Bobbi Brown ซะจนเคยตัว ทำให้หลงลืมแบรนด์นี้ไปอย่างง่ายดาย แต่วันนึงขณะที่เดินเวิ้นเว้อเหรอหราอยู่ในห้าง เจอเค้าลดราคาพอดี เกรซก็พุ่งดิ่งเข้าไปเลียบๆเคียงๆ น้องคนขายก็ใจดี บอกเราว่าลองสีได้เต็มที่ ปรากฏว่า สีสันทั้งสี่เซ็ตสวยหมดเลย แต่ในที่สุดเกรซก็เลือกน้อง Tropical Orange มาอยู่ด้วยกัน ในราคาลดแล้ว ไม่ถึงพัน แบบนี้

สีสันภายในพาเลตท์
ในชุดนี้ ประกอบด้วย สีประกายมุก 5 สี ประกายมุกชัดเจนคือ สีครีมและสีเขียวทอง ประกายมุกนิดหน่อย คือ สีส้มอ่อน สีส้มแดง และสีน้ำตาล และสีดำแบบด้าน ค่ะ
สีสันบนผิว
- ความประทับใจแรก คือ มีสีดำด้วยอ่ะ สีดำค่อนข้างจำเป็นสำหรับเกรซไม่ว่าแต่งหน้าโทนไหนก็ตาม เพราะการใช้สีดำช่วยขับให้ดวงตาดูมีมิติมากขึ้น
- สีสวยทุกสีจริงๆ คือ ซื้อมาแล้วสามารถใช้ได้ทุกดี ผสมกันสลับสีไปมายังงัยก็สวย วันสบายลงสีส้มอ่อน สีเดียว ก็ยังไหว แต่งหน้าไปทำงาน ใช้สีส้มอ่อนหรือส้มแดงลงก่อน ตามด้วยน้ำตาล หน้าหวานมาก วันไหนอยากเปรี้ยว ใช้สีเขียวทองตัดกับสีดำ เริ่ด ส่วนสีครีมใช้เป็นไฮไลท์ก็สว่างไสวสวยงาม ความลงตัวอีกอย่าง น่าจะมาจาก เกรซเลือกโทนสีส้มซึ่งเข้ากันได้ง่ายกับสาวอันเดอร์โทนสีเหลืองอย่างเกรซ 
สรุป ประทับใจมาก จะไปซื้อเฉดสีอื่นๆมาอีก เชิดๆ เริ่ดๆ ขอไปเก็บตังค์ก่อน อีกสามปีค่อยว่ากัน
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว สาวๆหลายๆคนที่ขี้เกียจแต่งตาอาจอยากลุกขึ้นมาแต่งบ้างรัยบ้าง สามารถกลับไปอ่านบทความเก่าๆที่เกรซแนะนำขั้นตอนการแต่งตาแบบต่างๆกันได้ ส่วนสาวๆคนไหนที่แต่งตาอยู่แล้วแต่รู้สึกว่า สีอายแชโดว์ไม่ค่อยติดทน ก็ลองลง eye primer ก่อน จะทำให้สีสันอายแชโดว์ชัดขึ้น ติดทนขึ้น จะยี่ห้อไหน อะไร ยังงัย กลับไปอ่านบทความเก่าๆเลยจ้ะ 
แต่งตาจัดเต็มไปแล้ว เวลาล้างออก ก็ต้องให้หมดจดนะจ๊ะ โดยใช้ Eye remover หยดใส่สำลีแล้วแปะไว้ที่เปลือกตาประมาณ 15 วินาทีแล้วค่อยๆลูบแผ่นสำลีออกอย่างแผ่วเบา อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งทิ้งแผ่นสำลี เราสามารถใช้ด้านที่ยังสะอาดอยู่เช็ดลิปสติกที่ริมฝีปากได้อีกด้วย สวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดใช้ด้วยจ้า พูดมาจนต่อมทอมซิลจะอักเสบอยู่แล้ว หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนสาวทั้งหลายบ้าง ขอบพระคุณที่ติดตามและอดทนอ่านบทความของเกรซมาโดยตลอดนะคะ ครั้งต่อไป เรามาดูวิธีทำสวยในวันตื่นสายกันดีมั๊ยค่ะ แล้วเจอกันจ้า

Thursday, 3 May 2012

Review L'oreal Hair spa Vs Lolane Natura Hair Treatment

ผมแห้งเสีย ผมแตกปลาย ผมขาดน้ำหนัก และผมขาดหลุดร่วง เป็นปัญหาที่สาวๆหลายคนกำลังประสบพบเจอกันอยู่ สาเหตุคงไม่ต้องพูดถึงใช่มั้ยคะ เรามาดูวิธีแก้กันดีกว่า
วิธีแก้ไขที่ปลายเหตุ รวดเร็ว และได้ผล คือ ตัดค่ะ การตัดผมหรือเล็มปลายผมทุกๆ 6 สัปดาห์ นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายแล้ว ยังทำให้เส้นผมของเราไม่ค่อยพันกัน จัดทรงได้ง่ายขึ้น สุขภาพผมดีขึ้น
ส่วนวิธีแก้ไขปัญหาระยะยาว อีกทางเลือกนึง คือ การดูแลเส้นผมด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงอย่างล้ำลึก เช่น ทรีทเมนต์ หรือ ครีมอบไอน้ำ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนพูดถึงในเว็บไซด์ความงาม รวมถึงกระทู้ในพันทิป คงหนีไม่พ้นสองตัวนี้แน่ๆ นั่นคือ L'oreal hair spa และ Lolane Natura Hair Treatment  วันนี้เกรซเลยจะขอพูดรายละเอียดว่า ทรีตเมนต์เหล่านี้มีข้อดีอย่างไร และ ข้อแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์สองตัวนี้คืออะไร มาเริ่มกันที่
L'oreal Hair Spa ซึ่งมีสองสูตร Nourishing Creambath สำหรับผมแห้งเสีย และ Repairing Creambath สำหรับผมอ่อนแอ แห้งเสียมาก ตัวกระปุก ปริมาณ 500 ml. สีฟ้า แบบนี้


วิธีใช้ตามฉลาก คือ ใช้หลังสระโดยผสมกับทรีทเมนต์เข้มข้นอีกตัวนึงแล้วนวดให้ทั่วเส้นผมรวมถึงหนังศีรษะ จากนั้นก็อบไอน้ำหรือคลุมด้วยผ้าขนหนูอุ่นๆ ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก สำหรับเกรซเลือกใช้ สูตร Nourishing Creambath เพราะสภาพผมไม่ได้เสียหายยับเยินอะไรมากมาย โดยใช้เดี่ยวๆไม่ได้ผสมทรีทเมนต์เข้มข้นอีก ลองมาทั้งแบบ หมักไว้เฉยๆ อบไอน้ำที่ร้าน อบไอน้ำด้วยตัวเองโดย ใช้หมวกคลุมผมอาบน้ำห่อด้วยผ้าขนหนูหมาดแล้วใช้ไดร์เป่า ซึ่งผลลัพท์ที่ได้ก็ออกมาใกล้เคียงกันค่ะ แต่การอบไอน้ำเกรซรู้สึกเหมือนกับว่าผมจะนุ่มขึ้นอีกนิดนึง ข้อดีของตัว hair spa คือ บำรุงทั้งเส้นผม และหนังศีรษะค่ะ รู้สึกได้เลยว่าผมมีน้ำหนักขึ้น ชุ่มชื้น สปริงตัวดีมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาเราเคลือบแว๊กใสอ่ะค่ะ ผมเงางามดีด้วย แต่ในเรื่องของความนิ่ม ก็นิ่มนะคะแต่ เกรซให้คะแนน Lolane มากกว่าค่ะ โดยปกติเวลาเราใช้ครีมนวดผม เส้นผมของเราจะชุ่มชื้นเพียงระยะสั้นๆ แต่ทรีทเมนต์ตัวนี้ เกรซรู้สึกว่าเส้นผมยังคงความชุ่มชื้นจนถึงการสระครั้งต่อไป (3 วัน) ไม่รู้คนอื่นๆจะรู้สึกเหมือนกันรึป่าว 
Lolane Natura Hair Treatment ซึ่งก็มีหลายสูตร แล้วแต่สภาพผมของแต่ละบุคคล เกรซเลือกลอง   สูตร  Jojoba Oil & Silk Protein สำหรับผมแห้งเสีย ชี้ฟู ไร้น้ำหนักค่ะ


วิธีใช้ตามฉลาก ดูเหมือนจะง่ายกว่าตัว Hair spa คือ ใช้หมักผมหลังสระ ทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก หากต้องการผลลัพท์ที่ดีขึ้น ก็ควรใช้อบด้วยไอน้ำ ความประทับใจแรก คือ ถูก และเร็ว  สามารถใช้แทนครีมนวดผมได้เลย หลังจากล้างออก สิ่งที่เกรซสัมผัสได้เลย คือ ผมนุ่มขึ้นมาก มากกว่าตัว Hair spa หลังจากไดร์ให้แห้งแล้ว สังเกตได้ว่า เส้นผมจะเรียบตรง ไม่ชี้ฟู อันนี้คือข้อดีค่ะ แต่ในเรื่องของ ความเงางาม ผมมีน้ำหนัก และความสปริงตัวของเส้นผม เกรซใช้เครดิต ตัว Hair spa มากกว่านะ หลังการใช้ยังรู้สึกถึงความชุ่มชื้นจนถึงการสระครั้งต่อไป เหมือน Hair spa ค่ะ
แล้วจะเลือกซื้ออันไหนดีล่ะเจ๊
ราคา  Hair spa ปริมาณ 500 ml. ราคาประมาณ 370 ส่วน Lolane ปริมาณ 250 ml. ราคาประมาณ 150  Lolane ถูกกว่านิดนึง
คุณภาพ ดีทั้งคู่ อันนี้แล้วแต่สภาพผมและความชอบส่วนตัวค่ะ เกรซว่า ถ้าต้องการความนิ่ม แบบนิ๊ม นิ่ม ผมเรียบไม่ชี้ฟู ก็ Lolane ถ้าต้องการความมีน้ำหนักเงางาม ผมมีสปริง ก็ Hair spa 
ถ้าจะให้ดีก็ใช้ทั้งสองอันเลยค่ะ ถ้ามีเวลามากหน่อยก็หมักด้วย Hair spa ถ้ารีบร้อนก็หมัก Lolane จับปลาสองมือไปเลยจ้ะ ใช้สลับกันไปมา หนุกดี การใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ อย่างเดียวนานๆ ไม่ดีหรอกค่ะ ควรสลับใช้ผลิตภัณฑ์อย่างอื่นบ้าง เพื่อไม่ให้เส้นผมลีบแบน หรือ กระด้าง
กลิ่น หอมอ่อนๆทั้งคู่ สำหรับเกรซขอให้ไม่ใช่กลิ่นลูกกวาดหวานๆเป็นอันใช้ได้
ไม่มีตังค์ซื้อ ทำไงดี ฮือ ฮือ
ใช้น้ำมันมะพร้าว หรือ น้ำมันมะกอก ก็ได้ค่ะ โดยใช้หมักผมก่อนสระประมาณครึ่งชั่วโมง สูตรนี้แม้แต่ดาราดังหลายคน ก็นิยมใช้กัน เพราะ สกัดจากธรรมชาติ แต่เวลาหมัก ควรเว้นระยะโคนผมไว้ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะทำให้หนังศีรษะมันและเส้นผมลีบแบนได้ค่ะ เกรซต้องบอกตรงๆว่า ลองเองแล้วไม่ชอบอ่ะ ไม่ได้ดัดจริตนะคะ แต่ไม่ค่อยถูกกับอะไรที่ธรรมชาติมากๆ 
นอกจากการบำรุงรักษาเส้นผม โดย การเล็มปลายผมและการหมักด้วยทรีทเมนต์แล้ว ควรหลีกเลี่ยง ความร้อนจาก การจัดแต่งทรง ทำสีเป็นประจำ เข้าใจนะคะว่า บางคนหลีกเลียงไม่ได้ แต่ก็ควรมีเวลาให้เส้นผมได้พักบ้างรัยบ้าง ถ้าเส้นผมที่มีอยู่แห้งเสีย ก็ไปตัดออกซะ เก็บเอาไว้ธนาคารก็ไม่ให้ดอกเบี้ย เว้นเสียแต่ว่า จะเก็บไว้ทำไม้กวาด อิอิ อีกอย่างนึงที่เกรซสังเกตเห็นคือ ผู้หญิงเราชอบไปอบไอน้ำที่ร้าน จากนั้น ช่างทำผมก็จะใช้ไดร์เป่าผมซึ่งมีความร้อนสูงมากๆ มาเป่าผมให้เรา ซึ่งมันดูขัดๆกันมั้ยคะ เราต้องการฟื้นฟูสภาพเส้นผม แต่กลับใช้ความร้อนทำลายเส้นผมซ้ำลงไปอีก มันไม่ดีกว่าเหรอค่ะ หากเราหมักผมหรืออบไอน้ำเองที่บ้าน จากนั้นปล่อยให้แห้งเอง หรือใช้เครื่องเป่าผมที่ไม่ร้อนมากมาไดร์ผม หรือบอกช่างทำผมว่า อบไอน้ำแต่ไม่ต้องไดร์ผม อันนี้ลองไปคิดเล่นๆกันดูนะคะ เคยมีคนพูดว่า เส้นผมคือ มงกุฎ เพิ่มความสวยเปล่งประกายให้แก่ผู้หญิง  จะเลือกสวมมงกุฎเพชร มงกุฎดอกส้ม หรือมงกุฏฟางข้าว อยู่ที่คุณแล้วล่ะค่ะ  อย่าลืมนะคะ เกิดเป็นหญิงอย่าได้หยุดสวย ดีชั่วจนรวยต้องสวยไว้ก่อน หมั่นดูแลเป็นนิจจะสวยแน่นอน รีบทำเสียก่อน จะลงไปนอนในโลง อ้าวขึ้นต้นซะดีเชียว ผมเสียแก้ได้ แต่ปากเสียแก้ไม่ได้จริงๆค่า ^.^