Tuesday, 20 December 2011

เคล็ดลับ กระชับรูปร่าง ลดน้ำหนัก

รีบเข้ามาดูอย่างรวดเร็วเลยเหรอค่ะ ฮ่าๆๆ เรื่องรูปร่าง เป็นเรื่องที่หลายคนเป็นกังวล โดยเฉพาสาวๆที่ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นมาแล้ว จะแอบข้องใจอยู่ว่า เราก็กินเท่าเดิม หรือน้อยกว่าแต่ก่อน แต่ทำไมไขมันถึงพอกพูนมากขึ้น ตามแขน ขา หน้าท้อง และยังได้ผิวเปลือกส้ม หรือ เซลลูไลท์ มาเป็นของแถมอีกแน่ะ
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันก่อน ดังนี้

1. เมื่อวัยของเราเพิ่มขึ้น มันเป็นธรรมดาที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากมันไม่ได้มากมายกว่าตอนเป็นวัยรุ่นมากนัก ก็ไม่ต้องเป็นกังวล สะบัดบ๊อบใส่แบบเชิดๆ แล้วไปอ่านหัวข้อการแต่งหน้าต่อ
2. เมื่อวัยเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการเผาพลาญพลังงานมักจะลดลง ดังนั้น หากเรารับประทานอาหารเท่าเดิมมาตลอด แต่เมื่อร่างกายไม่สามารถเผาพลาญพลังงานไปใช้ได้หมด มันก็สะสมเป็นชั้นไขมัน
3. วิถีชีวิต ตอนวัยรุ่นอาจจะใช้พลังงานกับการเรียน เล่นกีฬา ทำกิจกรรม ใช้พลังงานมากมาย แต่พอถึงวัยทำงาน เช้าตื่นไปทำงาน เย็นกลับบ้าน หรือ สังสรรค์ บางคนทำงานเหนื่อย ก็อยากให้รางวัลกับตัวเองเป็นการทานอาหาร ของหวาน หรือ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ ไม่ผิดหรอกนะคะ ถ้าคุณยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นกับรูปร่างของคุณได้
4. อยากให้ปรับเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องรูปร่างซะใหม่ ผู้หญิงหลายคนพยายามลดน้ำหนักจนผอมโกรก จะได้ใส่เสื้อผ้าตัวเล็กๆ พอมีคนทัก อุ้ย หุ่นดีน่ารัก ก็ยิ้มหุบไม่ลงเชียว อยากบอกว่า ผอมเกินก็ไม่สวยนะคะ แถมทำให้หน้าอกแฟบไปด้วย ผู้ชาย ชอบมองผู้หญิงผอม จะชอบให้แฟนตัวเองอวบนิดๆ เอาเป็นว่า ให้มันกำลังดี หรือ หากคุณเป็นคนโครงร่างใหญ่ ก็ไม่ต้องพยายามไปลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตาย เพราะความผอมไม่ได้ทำให้คุณตัวเล็กลง แค่ทำให้คุณเหมือน โครงกระดูกเดินได้   อ้าวยิ่งอ่านยิ่งงง แล้วจะเขียนหัวข้อนี้มาเพื่อ? เพื่อคนที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน รู้สึกอึดอัดกับไขมันตามตัว และมีปัญหาสุขภาพ โอเคมั้ยคะ

รู้ได้อย่างไรว่า น้ำหนักเกินมาตรฐาน วิธีคำนวณที่ง่ายและกว้างที่สุดคือ ส่วนสูง(เซนติเมตร) - 100 ในกรณีผู้ชาย และ - 110 ในกรณีผู้หญิง

เตรียมวางแผนการรบ โดย

- ทำใจให้เข้มแข็งค่ะ ใจ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต้องมีความแน่วแน่ หลายคนอาจสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง โดย การตั้งรางวัลให้แก่ตัวเอง ซื้อชุดสวยขนาดเล็กลงมารอไว้ เอารูปถ่ายสมัยที่เรายังสวยเช้ง มาตั้งไว้ที่หัวนอน หรือ คิดถึงคนที่คุณรัก อยากให้คนที่คุณรักภูมิใจ อะไรก็ตามแต่
- บอกคนรอบข้าง และมิตรสหายถึง เป้าหมายของคุณ ไม่ต้องอายค่ะ แค่บอกว่าช่วงนี้อยากควบคุมน้ำหนัก เผื่อเค้าจะมีส่วนช่วย โดยไม่มากินของอร่อย ล่อตาล่อใจ ชวนคุณไปทานของอ้วนๆ ทำให้คุณตบะแตก หรือเค้าอาจเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณ ในการออกกำลังกาย
- ตั้งเป้าหมายเอาไว้คร่าวๆ ว่า ภายในหนึ่งเดือน อยากลดได้กี่กิโล ขอร้องนะคะ อย่าเวอร์ สักหนึ่งกิโลให้ได้ก่อนเถอะค่ะ เมื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการลดน้ำหนัก ควรมีการชั่งน้ำหนักและจดบันทึกทุกสัปดาห์
- ถ้าคุณมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์นึดนึง อย่าให้ถูกหามไปเผาก่อนจะผอม อู้ว แรงงส์อ่ะ
- เตรียมใจไว้ล่วงหน้า หากครั้งแรกทำไม่สำเร็จ อย่าเพิ่งท้อ ลองใหม่

เข้าสู้ศึกครั้งนี้

1. การควบคุมอาหาร ไม่ได้ให้อดนะคะ เพียงแต่เลือกรับประทาน โดยลดคาร์โบไฮเดรต อาหารจำพวก แป้งลงให้น้อยที่สุด อาจเปลี่ยนจาก ข้าวขัดขาว เป็นข้าวกล้อง เพื่อคุณค่าทางอาหารและไฟเบอร์ สังเกตนะคะว่าเวลาทานข้าวกล้องจะอิ่มเร็วกว่าข้าวขาว  เพิ่ม ผัก ผลไม้(รสไม่หวาน) โปรตีนจากปลา หรือ ไก่(ไม่หนัง)  หลักการควบคุมน้ำหนักทั่วๆไป  ควรทานอาหารเช้าทุกวัน เพื่อรักษาระดับ น้ำตาลในเลือดและให้พลังงาน อนุญาตให้เป็นอาหารที่เราชอบ สำหรับอาหารกลางวันเลือกทานอะไรก็ได้ ไม่ซีเรียสแต่ควรเป็นประเภทเส้นใยอาหารสูง สำหรับอาหารเย็น ควรทานแต่น้อย เบาๆเช่น ผลไม้รสไม่หวาน หรือ ซุป หรือ โยเกริต์ และควรใช้เวลาเผาพลาญพลังงานอย่างน้อย 6 ชั่วโมงถึงจะเข้านอน โอ้ย ยากอ่ะ เอางี้ก็ได้ค่ะ เอาข้าวคะน้าหมูทอดของชอบที่จะกินตอนเย็นเปลี่ยนไปกินตอนเช้า และเย็นวันนั้นก็ทานฝรั่งหรือแอปเปิ้ลหนึ่งลูก ง่ายขึ้นมั้ย เคล็ดลับส่วนตัวที่เกรซใช้แล้วได้ผลในเรื่อง การควบคุมน้ำหนัก คือ มื้อไหน ทาน โปรตีน จะไม่ทานแป้ง เช่น ทานแต่ปลานึ่ง 1 ตัว กับผัก ไม่ทานข้าว มื้อต่อไป ทาน ข้าวต้มเปล่าไม่ใส่หมูไข่ อีกมื้อนึงทาน สลัดผัก  สูตรของคนอื่นที่ได้ยินมา คือ ทานผลไม้ชนิดเดียวเสริมด้วยนมไขมันต่ำ เช่น ทานกล้วยอย่างเดียวหนึ่งอาทิตย์ หรือ แอปเปิ้ลเขียวอย่างเดียวหนึ่งอาทิตย์หรือ แก้วมังกรอย่างเดียวหนึ่งอาทิตย์ สลับกันไป ก็ลองทำกันดูค่ะว่าลองสูตรไหนแล้วได้ผล  อีกอย่างนึง คือ เวลารับประทานอาหารให้ทานอย่างช้าๆ และมีสติ อย่ารับประทานอาหารหรือขนมเวลาดูทีวี เพราะสติเราจะอยู่ที่ทีวี จึงไม่สามารถควบคุมปริมาณการกินได้ ทานแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอ ลองกำมือข้างใดข้างนึง แล้วจ้องดูค่ะ แค่นั้นแหละ ต่อมื้อ
2. งดแอลกอฮอลก์ แอลกอฮอลก์มีผลกับน้ำหนักมากค่ะ มีช่วงนึงเกรซดื่มไวน์และเบียร์ทุกวัน คือคิดว่า ดื่มไวน์เพื่อให้เลือดสูบฉีด แต่ผลคือน้ำหนักสูบฉีด จากน้ำหนัก 50 ขึ้นมาเป็น 55 ภายในสี่เดือน แถมมีเซลลูไลท์ที่ต้นขาด้วย เรื่องเซลลูไลท์เนี่ย คนใกล้ตัวเห็น แล้วเค้ามาบอก ตกใจมากก หลังจากที่ลดน้ำหนักจนเข้าที่แล้วก็ไม่ดื่มแอลกอฮอลก์อีกเลย ถ้าไม่จำเป็น แอลกอฮอลก์ยังมีผลต่อผิวด้วยนะคะ ทำให้ผิวแห้ง แก่เร็ว
3. ลดน้ำตาล บางคนอาจดื่มกาแฟหรือน้ำหวาน ซึ่งทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็นในแต่ละวัน ก็ควรลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มนั้นๆลงค่ะ หรือไม่ต้องใส่น้ำตาลเลยได้ยิ่งดี อาศัยความหวานจากใบหน้าก็น่าจะเพียงพอ
4. การออกกำลังกาย ถ้าอายุเยอะแล้ว แค่ควบคุมอาหารอย่างเดียว น้ำหนักและความอ้วนจะไม่ค่อยลดค่ะ ต้องเพิ่มการเผาพลาญ โดยเลือกการออกกำลังกายที่คุณชอบ ประมาณ สามถึงสี่ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 45 นาที จริงๆร่างกายเราจะเป็นตัวบอกค่ะว่าควรออกกำลังกายได้แค่ไหนอะไรยังไง และควรเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์ ทำงานบ้านเอง ทำสวน  หัดทำอะไรด้วยตนเอง ไม่วานลูกหรือแฟนหยิบของให้ ในช่วงแรกของการออกกำลังกาย อาจมีผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ อย่าเพิ่งตกใจไป ให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ของเกรซใช้วิธี เดินบนเครื่องวิ่ง 45 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ค่ะ
5. ไม่ไหวแล้ว ใจไม่สู้ อาจจะเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เช่น ในหนึ่งอาทิตย์ หากรักษาวินัยเรื่องอาหารได้ ออกกำลังกายครบ ก็อาจจะกินอาหารที่เราอยากกินสักมื้อนึง หากออกกำลังกายแบบนั้นแล้วไม่ชอบ เช่น เต้นแอโรบิคแล้วเหนื่อย อาจเปลี่ยนเป็นเดินวันละหนึ่งชั่วโมงก็ได้ ข้อสังเกตส่วนตัว คือ หากเรามีเพื่อนมาลดน้ำหนักด้วย ออกกำลังกายด้วย จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น เหมือนนักเรียนช่วยกันติวหนังสือก่อนสอบอ่ะค่ะ
6. ทำแบบนี้นานแค่ไหน จริงๆถ้าทำจนติดเป็นนิสัยได้จะดีมาก เพราะจะทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น และควรวางแผนควบคุมน้ำหนักระยะยาว สามถึงหกเดือนขึ้นไป อย่ามาหักโหมลดเอาภายในเดือนนึง สองเดือน เพราะว่าจะต้องไปงาน นะคะ ไม่ดีหรอกค่ะ อาจทำให้สุขภาพทรุดได้ นอกจากนี้ หากน้ำหนักตัวลดลงเร็วเกินไปผิวพรรณจะเหี่ยวย่นด้วยค่ะ
7.ท้อมาก อยากล้มเลิก ให้ไปซื้อหมูสามชั้นมาค่ะ จำนวนตามน้ำหนักส่วนเกินของเรา สมมติว่าถ้าน้ำหนักเกินประมาณ แปด กิโล ก็ไปซื้อหมูสามชั้นมาแปดกิโล แล้วนั่งพิจารณาดู มันเยอะขนาดนี้ หากจะขจัดมันออก ก็ต้องใช้เวลา แต่ถ้าอยากมีเนื้อจำนวนนี้ห้อยต่องแต่งอยู่ตามแขน ขา คาง หน้าท้อง ก้น อันนี้ก็ตามใจคุณ
8. อย่าพึ่งยา ถ้าไม่จำเป็น เพราะผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เกรซเคยลองอยู่เหมือนกัน แล้วก็หยุดไปเพราะกลัวเสียชีวิต ตอนทาน รู้สึกหัวใจเต้นแรง ใจสั่น กระวนกระวาย ทำโน่นทำนี่ ไม่ค่อยสงบ น้ำหนักมันลดจริงค่ะ จะลดแบบไม่สดใส โทรมๆ ไม่เหมือนกับการออกกำลังกาย
9. หาหนังสือเกี่ยวกับโภชนาการมาอ่าน จะได้รู้ว่า ผัดไทยหนึ่งจาน มีพลังงานประมาณเท่าไหร่ แล้วหากเราต้องการออกกำลังกายเพื่อเผาพลาญพลังงานจำนวนนี้ ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ มันจะช่่วยให้เราควบคุมปากตัวเองได้ดีขึ้น
10. หันมาใส่ใจตัวเองด้านอื่นด้วย เช่น เปลี่ยนทรงผม เสื้อผ้า รองเท้า แต่งหน้า ทำตัวเองให้สวยขึ้น ทำจิตใจให้ร่าเริงสดใส ทำให้เรื่องการควบคุมน้ำหนักเป็นเรื่องสนุก 
11. เหนื่อยนัก พักนวด การนวดจะทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น คลายความปวดเมื่อย และเชื่อกันว่า ช่วยลดเซลลูไลท์ได้


เหนื่อยมั้ย สิ่งที่เธอทำอยู่ ทำเพื่อตัวเราเอง เพื่อสุขภาพ ทำไปเถอะค่ะ ทีทำร้ายตัวเองโดยกินอาหารไขมันสูง เค้ก ไอศครีม ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ยังทำได้เลย


เอาหล่ะ สำหรับสาวๆที่จะต้องไปงานขื้นมาอย่างเร่งด่วน ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ทัน เราก็มีวิธีแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ คือ 


1. สาวอวบที่มีผิวขาว ก็ไป อาบแดดให้ผิวสีแทนซะ ผิวสีแทน ทำให้รูปร่างเราดูกระชับขึ้น หากกลัวอันตรายจากแสงแดด ก็ให้อาบแดด ช่วงก่อน 9 โมงเช้า หรือ หลัง 4 โมงเย็น หรือ ก็ใช้พวก โลชั่นหรือสเปรย์ทำผิวสีแทนก็ได้ ระวังอย่าเอาแบบมีชิมเมอร์นะคะ เดี๋ยวจะยิ่งบวม ส่วนเรื่องรูปหน้าที่มีแก้มยุ้ย ก็อาศัยการแก้ไขรูปหน้าโดยการแต่งหน้า ที่เกรซได้แนะนำกันไปแล้ว และ ทรงผม ช่วยได้ค่ะ ถ้าเราหน้าสวยเป๊ะ มันจะช่วยดึงดูดความสายตาให้อยู่ที่ใบหน้า และเบนความสนใจเรื่องรูปร่างไปได้
2. เลือกชุดสีเข้ม มีแพทเทริน์ตัดต่อช่วงลำตัว แต่ถ้าต้องไปงานมงคลก็อาจเลือกเป็นสีเข้มอยู่ แต่ไม่ใช่สีดำ เนื้อผ้าไม่มันวาว อันที่จริง เกรซไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ เอาเป็นว่าต้องไปลองชุดดูเอง 
3. ความมั่นใจ ถ้าเรามีความเชื่อจากภายใน ว่าเราสวย ดูดี มันจะส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ภายนอกเราดูดีไปด้วย อย่าได้แคร์ คนอ้วนที่สวยก็มีเยอะนะคะ ดูดีกว่าคนผอมที่บุคลิกภาพแย่ตั้งเยอะ


ลองปฏิบัติกันดูนะคะ ใจเย็นๆ ของอย่างนี้ต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่ได้กลับมามันมากกว่ารูปร่างที่กระชับ แต่เป็นสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ You are what you eat 


  ปี 2009 ป้าอ้วน 58.5 กิโลกรัม 
ปี 2009 หุ่นแหนมเนือง
58.5 กิโลกรัม 

ปี 2010 51.5 กิโลกรัม


Tuesday, 13 December 2011

วิธีเลือก แป้ง แป้งทาหน้า ยี่ห้อไหน ดี


Powder มีเพื่อนสาวได้ไถ่ถามกันเข้ามา ให้ดิฉันแนะนำแป้ง ซึ่งดิฉันเค้าใจว่าน่าจะเป็นแป้งผสมรองพื้นทาหน้า ไม่ใช่แป้งทำขนมหรอกนะ โดยส่วนตัวเวลาแต่งหน้าชอบใช้รองพื้นเหลวกับแป้งฝุ่นที่สุดค่ะ ใช้แป้งผสมรองพื้นบ้างเวลารีบๆ(ประมาณสองถึงสามครั้งต่อปี) เหตุผลที่ชอบใช้รองพื้นเหลวกับแป้งฝุ่น เพราะ รองพื้นเหลวสามารถปกปิดรอยต่างๆได้ดีในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกันเมื่อทาแป้งฝุ่นทับ มันสามารถช่วยกระจายแสงได้ดีกว่า ใบหน้าเวลาแสงตกกระทบจะแลดูใส มีน้ำมีนวลกว่า  ในขณะที่แป้งผสมรองพื้นจะดูทึบแสงกว่า  (อ้าว แป้งแบบกระจายแสงก็มีนี่นา ดิฉันลองมาหมดแล้วค่ะคุณ) อีกประการหนึ่งคือ เวลาลงสีสันบนเปลือกตาและแก้ม รู้สึกว่า สีสันจะติดทน สีสวยกว่า ดิฉันจะรองพื้นแต่งหน้าในตอนเช้า จากนั้น ถ้าหน้ามันจะใช้กระดาบซับมันซับออก จะไม่เต็มแป้งระหว่างวันใดๆอีก เพราะเครื่องสำอางค์ก็ยังติดทนดี อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวบวกกับสภาพผิวของดิฉันนะคะ บางคนที่ทาเฉพาะแป้งผสมรองพื้นแล้วสวยเนียน ก็มีเยอะ เอาเป็นว่าเรามาดูถึงหลักใหญ่ในการเลือกแป้งกัน


1. รู้จัก สภาพผิวหน้าของตัวเอง ว่า ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ผิวธรรมดา ผิวขาดความชุ่มชื้น บางคนหน้ามันแต่ผิวขาดน้ำก็มี ถ้ายังไม่แน่ใจลองเดินป้วนเปี้ยนไปแถวเคานเตอร์ที่เค้ามีตรวจสภาพผิวหน้าฟรี ก็ลองไปตรวจดูค่ะ ถ้าโดนปั่นให้ซื้อของแล้วค่อยชิ่งหนีออกมาฮ่าๆ  และที่สำคัญ ควรบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าสภาพผิวไม่ดี แป้งลังโคม ลังไม้ ก็ช่วยคุณไม่ได้นะจ้ะ


2. วิเคราะห์ ความต้องการของตัวเองว่า ต้องการใช้แป้งเพื่อ
- ปกปิดรอยดำ ฝ้า กระ รอยสิว
- ปกปิดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
- ปกปิดริ้วรอย
- ควบคุมความมัน ป้องกันแสงแดด
- เพิ่มความกระจ่างใส นวลเนียน ให้กับผิวหน้า(ที่ดีอยู่แล้ว)
- ใช้ในวันทำงานปกติ ใช้ในโอกาสพิเศษ ใช้สำหรับวันพักผ่อนเบาๆ
แล้วค่อยไปเสาะหาแป้งที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณค่ะ จะเอาแบบผสมรองพื้น ควบคุมความมัน แป้งอัดแข็ง แป้งเค้ก ก็เลือกได้ตามใจชอบ

3. งบประมาณ สำหรับเรื่องนี้ ทุ่มได้เท่าไหร่ บางคนซื้อแป้งที คิดประมาณสามอาทิตย์ แต่พอเรื่องกิน ถึงไหนถึงกัน บางคนเรื่องเครื่องสำอางค์ทุ่มสุดตัว เรื่องกินเรื่องเที่ยวเดี๋ยวค่อยว่ากัน นานาจิตตัง เอาเป็นว่า งบน้อย ก็เลือกซื้อแป้งราคาประหยัด เพราะของถูกแล้วดีก็มี ของแพงใช้แล้วไม่ดีก็เยอะ  เพียงแต่แป้งแพง จากบริษัทใหญ่ เค้ามีการค้นคว้าวิจัยโน่นนี่ ลูกเล่นมากมาย กระจายแสงบ้างล่ะ ปกปิดริ้วรอย ติดทนนาน บ้างล่ะ ผสมเซรั่มบำรุงผิวบ้างล่ะ  ที่สำคัญมีเฉดสีให้เลือกค่อนข้างมาก เอาเป็นว่า ใช้อะไรก็ได้ที่เหมาะกับตัวคุณ น่าจะดี


4.อย่าหลอกตัวเองเรื่อง สีผิว บางคนผิวคล้ำชอบซื้อแป้งขาวกว่าผิว ทาแล้วดูหลอกตามาก หรือบางคนรู้ตัวว่าผิวคล้ำ แต่เบอร์แป้งสีเข้มสุดก็ยังขาวกว่าผิว แนะนำว่า เปลี่ยนยี่ห้อค่ะ บางยี่ห้อมีแป้งตั้ง 20 เบอร์ มันต้องมีสักอันล่ะน้า หรือ ถ้าหน้าไม่มีริ้วรอย จุดด่างดำ มากมายก็เปลี่ยนไปใช้แป้งแข็งแบบไม่มีสียังจะดีกว่า คนผิวออกเหลืองมากควรใช้แป้งอมชมพู คนผิวออกชมพูมากให้ใช้แป้งอมเหลือง เพราะทำให้ผิวแลดูสุขภาพดีขึ้น ผิวเหลืองอยู่แล้วใช้แป้งออกเหลืองอีก อาจกลายร่างเป็นปีศาจหน้าฟักทองไปได้ แต่ในยุคนี้ แป้งที่ผลิตออกมาเค้ามักผสมเม็ดสีเหลืองและชมพูด้วยกันอยู่แล้ว แต่เราไม่ค่อยรู้ เอาเป็นว่าลองทาดูถ้ามันทำให้ผิวเราดูเปล่งปลั่งก็เป็นอันใช้ได้


5.มันเป็นการยากที่จะไปลองทาแป้งดูแล้วจะรู้เลยว่า แป้งตัวนั้นดีหรือป่าว เพราะอย่างน้อยคุณต้องทาแป้งนั้นๆแล้วออกไปโลดแล่นใช้ชีวิตประจำวันปกติ แล้วจึงจะรู้ว่าแป้งนั้นดีจริงหรือไม่ อย่าเชื่อแสงไฟในห้าง เพราะผิวทุกคนจะดูดีเกินจริงเหมือนกันหมด  สัญญาณที่จะบอกว่าแป้งนั้นเหมาะกับเราหรือไม่นั้นคือ
- ทาแล้ว ตอบโจทย์ความต้องการของเรา เช่น ต้องการทาเพื่อปกปิด แล้วมันปกปิดมั้ย อำพรางร่องริ้วรอย แล้วทำอำพรางมั้ย
- ความติดทน แป้งดีคงไม่ถึงกับว่ามันจะต้องติดทน24 ชั่วโมง ก็มันควรจะติดทนในระดับที่เราไม่ต้องมานั่งโบ๊ะ ทุกสองชั่วโมง และเวลาเหงื่อออกต้องไม่เป็นคราบ
- เฉดสี มันกลมกลืนกับผิวบริเวณลำคอ แขนขาหรือไม่ ถ้าหน้าขาวอย่างเดียว ส่วนอื่นดำก็ไม่ไหวจะเคลียร์นะคะ หรือทาแป้งนั้นๆแล้วหน้าหมองเหมือนมีคนทำของใส่ อันนี้ก็ไม่ผ่าน

6. อาการแพ้ และสิว ถ้าใช้แป้งแล้วแพ้ อาการมันจะแสดงออกมาเลยค่ะ เช่น ผื่นคัน แสบร้อน ควรหยุดใช้ ถ้าอาการมากก็ปรึกษาแพทย์ แต่ถ้าสิวขึ้นเนี่ย ต้องมาพิจารณาว่า คุณล้างเครื่องสำอางค์ออกอย่างสะอาดแล้วหรือป่าว เพราะถ้าล้างเครื่องสำอางค์ไม่สะอาด แป้งยี่ห้อไหนสิวก็ขึ้นค่ะ
พูดไปบ่นไปก็เยอะแล้ว เกรซขอเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองก็แล้วกัน ขนาดเป็นคนไม่ชอบใช้แป้งผสมรองพื้น แต่ก็ลองมาเยอะเหมือนกัน บางยี่ห้อใช้แล้วไม่ชอบเลย จะไม่ขออ้าง หรือบางยี่ห้อที่ไม่ได้พูดถึงเพราะไม่เคยใช้ ซึ่งอาจจะใช้ดีมากก็ได้ สาวๆคนไหนมีอะไรดีเข้ามาโพสต์แชร์ข้อมูลกันได้ค่ะ


ความเนียน
 แป้ง M.A.C studio fix plus foundation เรื่องความเนียน ติดทน ยอมรับให้เป็นอันดับหนึ่งค่ะ แต่แป้งตัวนี้คนหน้ามันต้องระวังนิดนึง เพราะหน้าจะดูมันขึ้นนิดนึง แต่ก็ไม่ได้มากมาย อีกอย่างนึงคือ พอทาไปซักพัก สีแป้งจะดร๊อป คือ หน้าคล้ำ ขื้น ปกติเวลาไปซื้อ บีเอ (ที่ดี) จะแนะนำให้เลือกสีขาวกว่าสีผิวหนึ่งเบอร์เพราะทาไปแล้ว สีจะดร๊อปมาเท่ากะสีผิวค่ะ เครื่องสำอางยี่ห้อนี้ดีอย่างนึง คือ พวกตลับ หลอดผลิตภัณฑ์ที่ใช้หมดแล้ว สะสมครบหกชิ้น แลกลิปสติกได้แท่งนึงแน่ะ เริ่ด ชอบตรงนี้แหละ


อีกตัวที่เนียน คือ Covermark moisture veil  ราคาสูงพอสมควร แต่ต้องบอกเลยว่า เรื่องรองพื้นและแป้ง ยี่ห้อนี้เค้าทำมาตรฐานมาได้ค่อนข้างสูง เคยใช้แป้งและรองพื้นของเค้ามาหลายรุ่นเหมือนกัน ซึ่งดี แป้งตัวที่พูดถึงคือ moisture veil ทาแล้วเนียน เวลาเหงื่อออกนิด จะสวย เพราะเค้ามีเทคโนโลยีเหมือนกับเปลี่ยนน้ำมันบนผิวให้ช่วยกระจายแสง กันน้ำ กันเหงื่อด้วย ประมาณนี้ แต่เนื่องจากดิฉันผิวผสม เวลาทาแป้งตัวนี้ก็ซับมันค่อนข้างบ่อย ถ้าใครหน้าแห้ง ใช้ได้ดีค่ะ เพราะเค้ามีสารบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วย ใครที่ผิวผสมก็สามารถเปลี่ยน ไปใช้อีกรุ่นนึงได้ คือ Natural fix  รุ่นนี้จะถูกกว่านิดนึง
ยี่ห้ออื่นๆที่ได้ยินได้ฟังมาว่าดี ก็คือ Kanebo แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองเองค่ะ


และอีกยี่ห้อนึงที่เกรซค้นพบเองโดยบังเอิญ คือ Tell me sport spf 20ทั้งแบบ Nourishing สำหรับผิวแห้ง และ Oil control สำหรับ ผิวผสมหรือผิวมัน ใช้ดีค่ะ เนียนอย่างไม่น่าเชื่อ ราคาถูกกว่าการรับประทานอาหารญี่ปุ่นหนึ่งมื้อ ปกปิดถือว่าดี แต่ไม่เท่ารองพื้นครีม ใบหน้าไม่เป็นคราบระหว่างวันค่ะ

ความทน
แป้ง Estee lauder double wear stay in place ติดทนค่ะ ประมาณ 8 ชั่วโมงน่าจะได้ ตอนที่ซื้อมาใช้ก็เพราะ ใช้รองพื้นเหลวในรุ่นนี้แล้วติดใจ เลยขอลองแป้งผสมรองพื้นมาใช้ด้วย บางครั้งถ้าลงรองพื้นเหลวกับแป้งฝุ่นแล้วต้องการความปกปิดมากขึ้นก็เอาแป้งอันนี้ปัดทับไปอีก เริ่ด ข้อดีของแป้งตัวนี้เหรอคะ คือ ติดทน เวลาเหงื่อออกแล้วไม่เป็นคราบค่ะ  ข้อเสีย คือ ราคาพอสมควร และ เฉดสีที่มีเข้ามาในประเทศไทยค่อนข้างน้อย เลือกเฉดสีให้เข้ากับผิวยาก

ความเนียนบาง
แป้ง sheene ค่ะ บางดี ใสๆ ใช้แล้วหน้าไม่มันด้วย ดิฉันชอบใช้สมัยเป็นสาวแรกรุ่น เพราะใช้แล้วหน้าดูเป็นธรรมชาติ แต่ตอนนี้ถ้าใช้แป้ง sheene คงเอาไม่อยู่ อีกยี่ห้อที่ชอบ คือ แป้ง Bsc จริงๆสองยี่ห้อนี้น่าจะเป็นเครือเดียวกัน Bsc เมื่อก่อนน่าจะเป็น Pias ตอนเป็นสาวยี่สิบต้นๆ ดิฉันชอบใช้เหมือนกัน ข้อดี คือเนียนบาง เฉดสีเข้ากับสีผิวเป๊ะ ข้อเสียคือ มันไม่ค่อยติดทนอ่ะค่ะ ต้องเติมแป้งระหว่างวัน วันนึงไม่ต่ำกว่าสามครั้ง เรื่องปกปิดริ้วรอย ไม่ค่อยอ่ะค่ะ ถ้าจะเอาแบบราคาสูง เพื่อนดิฉันใช้ channel กะ shu นางก็บอกว่าเนียนบางดีค่ะ

คุณภาพสมราคา
แป้ง Mti  feel perfect ค่ะ เนียน กันน้ำ กันแดด อันนี้แม่ดิฉันใช้แล้วชอบ คุณแม่ใช้แป้งยี่ห้อนี้แล้วหน้าผ่องมาก เป็นอีกยี่ห้อนึงซึ่งราคาไม่แพงมาก แต่คุณภาพดี กำลังจะให้คุณแม่ลองใช้รุ่น timeless อยู่เหมือนกัน ถ้าคุณแม่ใช้ดีแล้วจะมาบอก อ้าวแล้วทำไมแกไม่ลองเองล่ะ ลองแล้วค่ะ แต่แป้งตัวนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ของผิวหน้าดิฉัน

แป้งฝุ่น
Clinique blended face powder สี invisible เป็นแป้งฝุ่นใช้คู่กับรองพื้น แบบไม่มีสี คือทาลงไปแล้วไม่เปลี่ยนสีของรองพื้น ใช้ได้กับรองพื้นทุกสี ควบคุมความมันได้ดีในระดับนึงเลยทีเดียว อนุภาคของแป้งเล็กจึงทำให้กลมกลืนกับผิวหน้า clinique เค้าเป็นแบรนด์ที่ทำเครื่องสำอางค์แบบไม่ผสมน้ำหอม ใช้แล้วไม่ค่อยแพ้ อันนี้คือ ข้อดี  แป้งฝุ่นอีกตัวที่ชอบมาก คือ Covermark moist lucent เพราะ อณูแป้งเล็กมาก เวลาทาแล้วจะกลืนหายไปกับผิวเลย เนียนมาก อีกรุ่นก็น่าจะเป็น Covermark loose powder ซึ่งก็ดี ราคาจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบราคาระหว่างสองแบรนด์นี้ Clinique จะถูกกว่าค่ะ อีกยี่ห้อนึงที่เค้าว่ากันว่าดี น่าจะเป็น laura mercier ตั้งใจว่าจะไปลองอยู่เหมือนกัน แต่รอให้เค้าลดราคาก่อน จะแพงไปไหนกันจ๊ะอิป้า

เคล็ดลับ ว่ากันว่า หลังการทาแป้ง หากคุณฉีดน้ำแร่พรมที่หน้า(ฉีดห่างระยะประมาณ 1 ฟุต) รอจนน้ำแร่ซึมเข้าสู่ผิว ใช้ทิชชู่ซับส่วนเกินออก แล้วซับแป้งที่หน้าอีกครั้ง แป้งจะติดทน อันนี้ลองทำกันดู แต่ไม่รู้ว่าจริงอะป่าว
พอแล้วมะ พูดกันมาได้ประมาณนึง หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ก็สาวๆบ้าง ใครมีอะไรดีๆก็โพสต์แบ่งปันข้อมูลกันได้จ้า เป็นผู้หญิงก็อย่าหยุดสวย เป็นชะนีก็อย่าหยุดร้อง เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย









Highlight Contour Shading เทคนิค การแก้ไขรูปหน้า

หลังจากที่เราพูดถึงเรื่อง โบท็อกซ์ สวยด้วยมือแพทย์ ไปแล้ว ก็กลับมาพูดถึงการแก้ไขรูปหน้าให้เรียวสวย ด้วยมือเรากันบ้างดีกว่า บางคนอาจเห็นว่า การแก้ไขรูปหน้าเป็นสิ่งไม่จำเป็นแต่ถ้าลองทำดูแล้ว จะติดใจกับผลลัพท์ที่ได้ค่ะ

การแก้ไขรูปหน้า คือ การสร้างแสงเงาให้แก่ใบหน้า ใช้สีเข้ม(shading)ทำเงาเพื่อลดข้อบกพร่องของใบหน้า และทำโครงหน้าให้ชัดขึ้น(Contour)  ใช้สีสว่าง(highlight) เพื่อสร้างจุดเด่นให้แก่ใบหน้า  หลักการแก้ไขรูปหน้า คือ พยายามทุบ เหลา เกลา รูปหน้า กลม เหลี่ยม ยาว ให้คล้ายคลึงกับ รูปหน้าในอุดมคติ (รูปไข่) ชิ ใครบอกคนหน้ารูปไข่สวยยะ ชั้นไม่เชื่อ(เหวี่ยงวีนเล็กน้อย ด้วยความอิจฉา)  การแก้ไขรูปหน้าจะทำให้หน้าได้รูปขึ้น จะเห็นได้อย่างชัดเจน เวลาถ่ายรูป ใบหน้าจะดูมีมิติ  มีความลึก ความโด่ง ไม่ดูแบนราบ ใครหน้าแบน ดั้งแบน หน้ากลม  แก้มเยอะ หน้าเหลี่ยม หน้ายาว การแก้ไขรูปหน้าช่วยได้ค่ะ จะลงตรงไหน ด้วยอะไร เดี๋ยวมาดูกัน


ไปหาอุปกรณ์มาสิจ๊ะน้อง


1. ไฮไลท์       มีให้เลือกทั้งแบบครีมและฝุ่น 












2.
เฉดดิ้ง ก้อมีทั้งแบบครีมและแบบฝุ่น


อาจใช้รองพื้นหรือแป้งสีเข้มกว่าผิว ประมาณ 2-3ระดับ มาใช้แทนได้ หรืออยากเก๋ก็ใช้บรอนเซอร์ เกรซว่าบรอนเซอร์แบบแมทซ์ ใช้แรเงาสวยกว่าแบบชิมเมอร์นะ
3..ฟองน้ำ สำหรับเกลี่ย และแปรงปัดแป้ง (Face blending brush) สำหรับ ปัดเฉดดิ้ง นอกจากนี้ หากใครอยาก แรเงาดั้งจมูกด้วยเฉดดิ้งแบบฝุ่น ก็ควรมี แปรงขนฟู หรือแปรงไฮไลท์ ( big fluff brush)  และ แปรงเฉดดิ้ง หัวตัด ( Angle contour brush ) เพื่อทำโครงหน้าด้วย โอ้ย เยอะอย่างจริง
Multiple อันนึงทำไฮไลท์ อันนึงเฉดดิ้ง
แปรงปัดแป้ง แปรงหัวตัด แปรงหัวฟู















ขั้นตอนแรก 
ให้ลงรองพื้นและคอนซีลเลอร์ตามปกติ หากใช้ไฮไลท์ เฉดดิ้งแบบครีม ก็ต้องลงหลังจากรองพื้น หากใช้ไฮไลท์ เฉดดิ้งแบบฝุ่น ก็ให้ทำหลังจากลงแป้งฝุ่นไปแล้วจ้ะ แล้วลงตรงไหนอ่ะ
หายใจลึกๆ ท่องนะโม ก่อนดูอันน่ากลัวรูปนี้ กรี๊ดดดดดดดดดดดด


น่ากลัวมาก มิติพิศวง
หลังจากทำใจดูภาพนี้ได้แล้ว ก็มาวิเคราะห์กัน ตามวิชาแต่งหน้า ถือว่าเป็นใบหน้าที่ได้สัดส่วน (ไม่ได้แปลว่าสวยนะคะ) คือ ความยาวของหน้าผาก จมูก และ คาง ใกล้เคียงกัน ตาปกติ ไม่ชิด ไม่ห่าง  ไม่มีถุงใต้ตา มีดั้งจมูกแต่ปีกจมูกมีเนื้อค่อนข้างเยอะ การวิเคาระห์ใบหน้าช่วยให้เรารู้ว่าควรจะลง ไฮไลท์ และเฉดดิ้งตรงไหน

หลักทั่วไป

การลงไฮไลท์ ให้ลงให้ส่วนที่คุณอยากให้มันพุ่งนูนออกมา เช่น ดั้งจมูก โหนกคิ้ว ร่องใต้ตา ร่องจมูก ร่องปาก และคาง จากรูปตัวอย่าง คือแนวจุดสีเหลือง  แต่
- ถ้าใครมีเงาของสันจมูกชัดเจนอยู่แล้วก็ไม่ต้องลงค่ะ  ใครเสริมดั้งเซียะมาแล้ว ก็ไม่ต้องค่ะ
- คนที่มีถุงใต้ตา ให้ลงไฮไลท์เฉพาะขอบถุง อย่าลงทับถุงใต้ตานะคะ จะทำให้ถุงใต้ตาดูใหญ่ขึ้นไปอีก
ใครที่ใช้ไฮไลท์แบบฝุ่น สามารถใช้ Angle contour brush แตะแล้วระบาย ขนาดของแปรงเข้ากับใต้ตาได้พอดี

- การลงไฮไลท์ที่จมูกควรให้ขนาดของไฮไลท์ไม่เกินกว่า 1/3 ของขนาดจมูก กะได้จากขนาดปลายนิ้วก้อยอ่ะค่ะ ให้ดูสัดส่วนของใบหน้าประกอบด้วย ใครจมูกยาวก็แรเงาปลายจมูกด้วยก็ได้ ถ้าใช้ไฮไลท์ฝุ่น ก็ใช้แปรงหัวฟู big fluff brush ไล้เบาๆ แปรงอันนี้จริงๆเค้ามีชื่อเรียกนะคะ แต่จำไม่ได้แฮ่ๆ


- มือใหม่หัดแต่ง ควรลงไฮไลท์ก่อนเฉดดิ้ง จะทำง่ายกว่า ถ้าชำนาญแล้วจะลงเฉดดิ้งก่อนก็ได้ค่ะ


การลงเฉดดิ้ง คือ การแรเงาในส่วนที่เราอยากจะลดมันให้เล็กลง หรือขับให้ส่วนที่ใกล้กันให้ดูเด่นขึ้น เช่น กรอบหน้า ใต้โหนกคิ้ว ขมับ ใต้โหนกแก้ม ขากรรไกร สังเกตุตามตำแหน่งสีแดง และสีน้ำตาล
- คนที่โหนกแก้มสูงอยู่แล้ว หรือ รูปหน้ายาว ให้ลงเฉดดิ้ง ตรงตำแหน่งโหนกแก้ม ดังตัวอย่างในรูป
- รูปหน้าอื่นๆ ให้ลงใต้โหนกแก้ม เพื่อดันให้โหนกแก้มดูสูงขึ้น โดยปกติ ตำแหน่งนี้จะอยู่บริเวณกกหู ไล่เฉียงมาในทิศทางแนวปลายจมูก แต่ความยาวของเฉดดิ้งไม่ควรยาวเข้ามาถืงตำแหน่งตาดำนะคะ
- ถ้าใช้แบบครีม ใช้จุดไว้ตามตำแหน่ง แล้วใช้ฟองน้ำเกลี่ยให้กลมกลืน ควรลงแต่น้อยก่อนถ้าไม่พอ ค่อยลงเพิ่ม ถ้าลงเยอะจะดูสกปรก ตรงกรอบหน้า อาจลงตรงตำแหน่งเส้นสีแดง แล้วเกลี่ยให้กลืน(ดูแนวเส้นสีน้ำตาล)
แปรงใหญ่ปัดเฉดดิ้ง 
แปรงหัวตัด เน้นโครงหน้า
- ถ้าใช้เฉดดิ้งแบบฝุ่น หรือบรอนเซอร์ก็ใช้  แปรงปัดแป้งอันใหญ่ ปัดตามแนวเส้นสีแดงและสีน้ำตาล  โดยสร้างโครงหน้าให้ชัดเจน ตามแนวเส้นสีแดงด้วย Angle contour brush 
 ส่วนบริเวณข้างจมูกให้ใช้ big fluff brush ไล่ตามแนว พยายามเกลี่ยให้กลมกลืนอย่าให้เป็นจ้ำเป็นขอบ ถ้าใครทำจนชำนาญแล้ว การลงเฉดดิ้งแบบฝุ่นก็จะดูเป็นธรรมชาติสวย นอกจากนี้เราสามารถใช้ big fluff brush ทำโครงเบ้าตาเบาๆ ตามแนวเส้นสีน้ำตาลในรูป
- ข้อควรระวังในการลงเฉดดิ้งจมูก ถ้าตาชิด ให้จุดเริ่มต้นอยู่ที่หัวตา ไม่ไล่จากคิ้วลงมาปลายจมูก เพราะจะทำให้ตายิ่งชิดกันมากขึ้น ส่วนตาห่างและตาปกติ อาจตั้งต้นจากคิ้วไล่ลงมาได้ ใครปลายจมูกบานก็ลงปีกจมูกด้วยค่ะ

การลงชิมเมอร์ 
ตอนนี้ชิมเมอร์เป็นที่นิยมกันมากในซีกโลกตะวันตก ที่ผู้หญิงมีโครงหน้า และสันจมูกชัดเจน การลงชิมเมอร์เป็นการทำให้ใบหน้าแลดูสดใส โดดเด่น แต่ในซีกโลกตะวันออก ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ ใบหน้ากลม แบน ควรระวังนิดนึงในการลงชิมเมอร์ เพราะถ้าลงผิดตำแหน่งหน้าจะดูแบนราบ รวมถึงใครที่หน้ามัน รูขุมขนใหญ่ การลงชิมเมอร์อาจเน้นปัญหานั้นให้มากขึ้นได้
การลงแบบปลอดภัย คือตามแหน่งสีเทา บริเวณ มุมหัวตา รอยหยักของริมฝีปากบน และจุดสูงสุดของโหนกแก้มค่ะ


หลังจากแต่งหน้าแล้ว
ลดความน่ากลัวได้นิดนึง

เอาละซี้ เกิดอยากลองของขึ้นมาแล้วใช่ไหมคะ ลองได้เลยแล้วถ่ายรูปเอามาเปรียบเทียบดู ถ้าเส้นมันดูชัดมาก แสดงว่าน้ำหนักมือและสีเยอะไป ถ้ามองไม่เห็นความต่างอะไรเลย แสดงว่าน้ำหนักและสีเบาไป
แสงธรรมชาติ
แสงแฟลต
จากรูปจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าสภาพแสงจะเป็นเยี่ยงไร โครงหน้าของเราก็ยังเป๊ะอยู่  เกรซไม่ใช่คนจมูกโด่งอะไรมากมาย ตามแบบฉบับสาวเหนือหน้าแป้นแล้น แต่การแก้ไขรูปหน้าทำหน้าเครื่องหน้าของเราดูชัดขึ้น
 การแก้ไขรูปหน้าเราสามารถทำได้ในทุกครั้งของการแต่งหน้า ถ้ารีบเร่งก็ใช้แบบฝุ่น ถ้าเน้นความเนี๊ยบก็ลงแบบครีม ซ้ำด้วยแบบฝุ่นค่ะ จากคุณคนเดิมที่สวยอยู่แล้ว ก็จะสวยเด้งเป็นดาวขึ้นไปอีก ลองดูสิคะ












Monday, 12 December 2011

Botox คืออะไร ฉีดโบท็อกซ์ ดีมั้ย

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ดิฉันเองไม่ใช่หมอ ดังนั้นการให้ข้อมูลในเชิงลึกอาจไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าเอาประมาณว่า เพื่อนสาวเมาท์มอยกัน แชร์ประสบการณ์กัน อันนี้อ่ะพอทำได้ สนใจอยากรู้ละสิ โอเคมาเริ่มกัน

Botox คือชื่อทางการค้าของบริษัทนำเข้า สาร Botulinum toxin A สารตัวนี้เป็นสารโปรตีนชนิดหนึ่งที่ได้จากแบคทีเรีย เมื่อก่อนแพทย์ใช้สารตัวนี้เพื่อรักษาอาการ ตาเข ตาเหล่ ตากระตุก อาการผิดปกติของกล้ามเนื้อคอ โดยสารตัวนี้เมื่อฉีดเข้าไป จะเข้าไปจับกับปลายประสาท ทำให้ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท ซึ่งมีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ หรือภาษาชาวบ้าน คือ อัมพาต ชั่วคราว เมื่อนำมาใช้ในด้านความงาม เมื่อฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณริ้วรอย จะทำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน ทำให้ไม่เกิดรอยย่น ระยะเวลาอยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 3-6 เดือน ปัจจุบัน โบท็อกซ์สามารถฉีดเพื่อลดริ้วรอย ลดกล้ามเนื้อบริเวณมุมกราม ปรับแต่งคิ้ว หางตา จมูก ยกกระชับใบหน้า หรือแม้แต่ลดเหงื่อ 
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงคิดว่า แล้วจะทำไปทำไมกัน น่ากลัวจัง เปลืองตังค์เปล่าๆ เอาเป็นว่า คนเรามีหลายประเภท บางคนมีความสุขกับการกิน บางคนมีความสุขกับการท่องเที่ยว บางคนมีความสุขกับสัตว์เลี้ยง และอีกหลายๆคนมีความสุขกับรูปลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นของอย่างนี้ว่ากันไม่ได้หรอกนะ
กลับมาเข้าเรื่องค่ะ ว่า มันมีอันตรายรึป่าวค่ะ โอกาสแพ้มีมั้ย ผลข้างเคียงล่ะ

อันตรายหรือป่าว ขึ้นอยู่กับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญผู้ทำให้ คุณภาพของสารที่ฉีดเข้าไป และ ดวงของคุณ จริงๆนะคะ การทำศัลยกรรม หรือ ฉีดเสริมสวย เหมือนการเดินข้ามถนน คนส่วนใหญ่เดินข้ามอย่างปลอดภัย แต่ก็มีบางคนที่ถูกรถชนด้วย อธิบายอย่างนี้โอเคมั้ยคะ

โอกาสแพ้มีมั้ย มีค่ะ สารเคมีทุกอย่างในโลกนี้ มนุษย์เราอาจเกิดอาการแพ้ได้หมด ถ้าปรึกษาแพทย์เค้าจะถามถึงอาการแพ้ ถ้าแพ้สาร Botulinum หรือ สาร Albumin ผู้ป่วยโรคระบบประสาท หรือสตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร ไม่ควรทำค่ะ

ผลข้างเคียง หลังทำ อาจมีอาการปวดหัว คลื่นไส้ ตาลาย ตึงบริเวณกล้ามเนื้อ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปภายในสองถึงสามวัน

เจ็บมั้ย ถูกผู้ชายบอกเลิก หรือสามีแอบไปมีเมียน้อยเจ็บกว่าค่ะ ฮ่าๆ เจ็บทนได้ค่ะ บางรายอาจใช้เพียงน้ำแข็งประคบให้ชาแล้วฉีด หรือ บางรายอาจทายาชาทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วฉีด อันนี้ขึ้นอยู่ที่ความอดทนของแต่ละบุคคล บริเวณที่ฉีดแล้วเจ็บที่สุด น่าจะเป็นหน้าผากค่ะ

ผลลัพท์ที่ได้
ถ้าคุณฉีดเพื่อลดริ้วรอย ริ้วรอยจะตื้นขึ้นจนแทบมองไม่เห็นภายในหนึ่งอาทิตย์
ถ้าคุณฉีดเพื่อลดกล้ามเนื้อกราม หน้าจะดูตอบเรียวลง ภายในหนึ่งเดือน
ถ้าคุณฉีดยกกระชับรูปหน้า บริเวณช่วงขากรรไกร คอ จะตึงกระชับ ยกขึ้น ภายในหนึ่งเดือน
 ส่วนระยะเวลา จะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน แต่ถ้าฉีดซ้ำสม่ำเสมอ โบท็อกซ์จะอยู่ได้นานขึ้น

มีข้อควรระวังมั้ยคะ
-ควรฉีดกับแพทย์เท่านั้น เพราะปัจจุบันมีโฆษณามากมายผ่านอินเตอร์เน็ต โดยใช้ราคาที่ถูกเป็นตัวล่อ ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมามันไม่คุ้มกันหรอกค่ะ เลือกสวยแบบไม่เสี่ยงน่าจะดีกว่า
-ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า ปัญหาของคุณคืออะไร เช่น ถ้าร่องแก้มลึก โบท็อกซ์อาจไม่ช่วย ต้องฉีดสารเติมเต็มแทน หรือ หากมีริ้วรอยใต้ตา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาวิธีอื่น เพราะ ปกติบริเวณนี้เค้าไม่ฉีดโบท็อกซ์กันนะคะ มันอันตราย หรือหากหน้ากางเป็นเพราะกระดูกขากรรไกร ไม่ใช่กล้ามเนื้อ โบท็อกซ์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรค่ะ
- ฉีดในปริมาณที่พอดี ในบริเวณที่จำเป็น การฉีดโบท็อกซ์ทั้งหน้า อาจทำให้หน้าดูตึงกระชับก็จริง แต่อาจทำให้ใบหน้าดูแข็งทื่อ ไร้อารมณ์ความรู้สึก เวลาเรายิ้ม ตา แก้ม ปาก ของเราควรจะยิ้มไปด้วย ถ้าโบท็อกซ์มากเกินไป เวลายิ้ม จะขยับได้เฉพาะปาก เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนอาจโดนเมาท์ว่า แลดูเฟค เพราะสีหน้าดูเย็นชา ไม่สามารถบ่งบอกอารมณ์ใดๆได้เลย
- ก่อนและหลังทำ ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ควรงดยาฆ่าเชื้อ แก้อักเสบ แอสไพริน วิตามินอี แอลกอฮอล์ ซึ่่งจะมีผลทำให้โบท็อกซ์ทำงานได้ไม่เต็มที่ หลังจากทำแล้ว ภายในสี่ชั่วโมงห้ามนอนราบ เพราะโบท็อกซ์อาจไหลได้ หลังทำแล้วควรหลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือนวดหน้า ประมาณหนึ่งเดือน
ประสบการณ์ส่วนตัว
แหมกล้าเล่านะยะ เกรซเป็นคนไม่ค่อยแอ๊บค่ะ ทำก็บอกทำ จะไม่บอกว่า ผอมลง หรือ มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น เหมือนที่ดาราเค้าตอบๆกัน เกรซมีริ้วรอยที่หน้าผาก เพราะเป็นคนพูดจาชอบแสดงสีหน้าตลอดเวลา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ชอบขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว พออายุขึ้นเลขสาม ริ้วรอยก็มาเลยจ้ะกลางหน้าผาก แต่พอโบท็อกซ์ก็หายไปค่ะ  มีความสุขมาก แต่เค้าก็จะกลับมาใหม่ประมาณสามถึงสี่เดือนให้หลัง ชิ ตรงหน้าผากโบท็อกซ์อยู่ได้ไม่นานค่ะ หลายๆคนพูดเหมือนกัน
กระชับรูปหน้าด้วยจ้า ด้วยความที่อยากให้หน้าเรียวกระชับก็ไปให้คุณหมอจัดให้ โดยฉีดเข้าตรงมุมกราม และ กรอบหน้า หน้าก็เรียวขึ้นค่ะ แต่จะสวยขึ้นรึป่าว อันนี้แล้วแต่คนมอง บางคนก็ชอบให้เราหน้าดูอิ่มเต็ม
หน้าอิ่มเต็ม
หน้าเรียวตอบ
บางคนก็บอกว่า หน้าเรียวตอบ ดูเก๋เป็นนางแบบกว่า  แต่ถ้าถามตัวเองก็รู้สึกดีค่ะทั้งสองแบบ ขออย่างเดียว ริ้วรอยตรงหน้าผาก อย่าได้บังเกิด อยากแนะนำสาวๆว่า ถ้าอยากสวยขึ้น การแต่งหน้าช่วยได้ แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องริ้วรอย ความหย่อนคล้อยแล้วเป็นทุกข์กังวลใจ โบท็อกซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวคุณ เพียงแต่ต้องรู้เท่าทัน และอย่าลืมว่า ความสวยที่แท้จริงไม่ใช่อยู่แค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่อยู่ที่จิตใจและการแสดงออกที่เหมาะสมด้วยค่ะ






Saturday, 3 December 2011

Lipstick สีไหน ทาปาก อย่างไร เลือกลิปสติก ทำอย่างไร

คำว่า ลิปสติก มาจาก lip + stick สันนิษฐานว่า เริ่มแรกเค้าคงผลิตออกมาเป็นรูปแท่ง แต่พอมาถึงยุคนี้ โอ้โห ไหนจะแท่ง ตลับ หลอด ดินสอ จะเป็นเนื้อแมท เนื้อมุก เนื้อกลอส เนื้อเจล เนื้อเหลว สารพัดไปหมดใช้กันแทบไม่หวาดไม่ไหว  ลิปสติกมีความสำคัญแทบจะที่สุดสำหรับผู้หญิงที่แต่งหน้า เพราะคงไม่มีใครแต่งหน้าแล้วไม่ทาปากใช่มั้ยคะ บางคนแม้จะไม่ทาแป้ง ไม่แต่งหน้า แต่ขอทาปาก อ้าว! หลายๆคนรวมถึงคุณแม่ของดิฉันด้วย ที่ทาแต่แป้งและทาปาก เป็นอันเสร็จพิธี บางคนทำแค่นี้แล้วรอดก็มี แต่ที่ทำแค่นี้แล้วเหมือนซาลาเปาแต้มสีแดงตรงกลาง ก็เยอะอยู่ แล้วตรูจะทำเยี่ยงไร
มาเริ่มกันที่

1. บำรุง ต้องเตรียมริมฝีปากให้เรียบนุ่มชุ่มชื้นก่อน ควรขัดปากบ้างเป็นครั้งคราว โดยใช้สครับสำหรับริมฝีปาก หรือ อาจใช้วิธีง่ายๆ เช่น นำน้ำตาลมาผสมกับน้ำผึ้ง หรือ น้ำตาลผสมน้ำมันจากธรรมชาติ(งา มะพร้าว มะกอก) แล้วขัดเบาๆ ด้วยนิ้ว หรือ แปรงสีฟันขนอ่อนๆ เมื่อล้างออกแล้วก็เติมความชุ่มชื้นด้วย  ลิปมัน ลิัปบาล์ม หรือ วาสลีนปิโตรเลียมเจลลี่ ทำอย่างนี้เป็นประจำจะทำให้ปากนุ่มเรียบค่ะ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันด้วยนะคะ
2. รู้จัก  ลักษณะริมฝีปากของตัวเอง ว่า ริมฝีปากบนล่าง หนาหรือบาง อย่างไร อาจจะ บนบางล่างหนา บนหนาล่างบาง ปากยู่ยี่ไม่เป็นกระจับ ปากเล็ก ปากใหญ่ ฯลฯ

3. เลือก ประเภทของลิปสติก 
ลิปสติกแม่สี Mti
ริมฝีปากเล็ก ทาลิปสติกเนื้อมุก วาว สีอ่อน หรือกลอสสี จะช่วยทำให้ปากดูอวบอิ่มขึ้น ถ้ามีลิปสติกเนื้อด้านอยู่ก็ทากลอสทับลงไปค่ะ
ตัวอย่าง กลอสใสค่ะ
ริมฝีปากหนา ทาลิปสติกเนื้อแมทต์ หรือ เนื้อครีม สีเข้ม และควรเขียนขอบปาก จะทำให้ปากดูเล็กได้รูปขึ้น
ริมฝีปากไม่ได้รูป คือไม่มีรอยหยัก แนะนำให้เขียนขอบปากด้วยดินสอ ก่อนทาลิปสติก
ริมฝีปากแห้ง ไม่ควรทาลิปเนื้อแมทต์ หรือเนื้อด้าน  จะทำให้ปากยิ่งลอกแห้ง อ้าวแล้วถ้าปากหนาแบบแห้งๆล่ะคะ แก้โดย บำรุงด้วยลิปมันแล้วซับออก เขียนขอบปากก่อนแล้วลงเป็นเนื้อครีมที่ไม่มันวาวก็ได้ค่ะ สมัยนี้มี lip primer เป็นลิปที่ใช้รองพื้นก่อน คุณสมบัติคือ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเคลือบปิดร่องริมฝีปากทำให้ริมฝีปากดูเรียบเนียนขึ้น ไปสอยมาลองกันได้จ้ะ
4. ทา ตรงไหน
แน่นอนค่ะ ตรงปาก โดยใช้พู่กันทาปาก จะทำให้ได้รูปทรงดีกว่าทาลิปสติกจากแท่ง หรือ ถ้าใครจะผสมสีหรือใช้ ลิปพาเลตท์ ก็ต้องใช้พู่กันทาปากอยู่แล้ว หากว่าริมฝีปากของคุณบนล่างไม่เท่ากัน  แก้ได้ดังนี้
หากริมฝีปากบนบาง ให้เขียนแนวขอบปากบนใหม่ให้ใหญ่ขึ้นแล้วทาทับด้วยลิปสติกสีอ่อน
หากปากบนหนา ก็เขียนขอบปากบนให้เล็กกว่าปากจริงแล้วทาลิปสติกสีเข้มทับ ส่วนริมฝีปากล่างก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สีเข้มในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสีสดนะคะ อาจจะชมพูอมน้ำตาลเข้ม ส้มอมน้ำตาลเข้ม ประมาณนี้อ่ะค่ะ
หรือ หากคุณเป็นคนรูปหน้าเล็ก อย่าเขียนปากให้ใหญ่ และหากคุณเป็นคนรูปหน้าใหญ่ไม่ควรเขียนปากให้เล็ก ตามหลักของความสมดุล
การทาปากที่กล่าวไปข้างต้น อาจสร้างความสับสนให้กับมือใหม่หัดแต่ง และการเขียนแนวขอบปากใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นกลางวัน แต่งแบบเบาๆ จะเขียนขอบปากให้ดูเป็นธรรมชาติก็ยากขึ้นไปอีก เราอาจใช้วิธีอื่นที่ง่ายกว่าแทน เช่น
จำแค่ว่า ปากบางทาสีอ่อน ลงกลอส ปากหนาทาสีเข้ม เขียนขอบ ไม่วาว จบค่ะ หรือ

เน้นแต่งตา เพราะจะช่วยดึงความสนใจจากรูปปากไปได้ หากแต่งตาเข้มแบบสโม้คกี้อายส์ ก็ทาปากแบบนู้ด เอ๋อๆ เบลอๆ ก็สวยดีค่ะ
สีนู้ดที่ชอบมากกกก M.A.C
ถ้าปากบางก็ทากลอสทับให้วาว ถ้าปากหนาก็ไม่ต้องเน้นค่ะ  หรือใครจะทำแบบอั้ม แตะสีจากด้านในริมฝีปากออกมาให้ความเข้มอยู่ด้านในของริมฝีปาก ก็ได้ค่ะ
แล้วการทากลอส ให้ทาทั้งปากเลยมั๊ยคะ ตามหลักการแล้ว ริมฝีปากบนให้แต้มสองจุดตรงกลาง ริมฝีปากล่างหนึ่งจุดตรงกลาง แต่ในความเป็นจริง ทาไปสักพักมันก็ผสมกันไปทั้งปาก เพียงแต่ว่า ถ้าเราทาเฉพาะจุดมันจะทำให้ปากดูมีมิติมากกว่าและดูไม่เยิ้มจนเกินไป



ทาลิปสติกอย่างไร ให้ติดทน
bobbi brown
lip palette
หลักการคือ รองพื้นที่ปากด้วย ถ้าใช้แป้งฟัฟก็ให้แตะที่ปากด้วย เขียนขอบปาก จากนั้นทาลิปสติกหนึ่งรอบ แล้วใช้ทิชชู่ประกบที่ปากเพื่อซับออก จากนั้นทับด้วยแป้งอีกหนึ่งรอบแล้วทาลิปสติกซ้ำอีกครั้ง หากเป็นคนปากแห้ง เริ่มต้นให้บำรุงด้วยลิปมัน แล้วซับออกก่อนลงรองพื้น หรือสาวๆที่ไม่อยากยุ่งยาก อาจเลี่ยงไปใช้ลิปสติกแบบ long lasting เลยก็ได้ แต่ไม่ว่าลิปสติกจะติดทนแค่ไหน ถ้าคุณไปกินข้าว หรือของมันๆประเภทกล้วยทอด ลูกชิ้นทอด ลิปสติกก็หลุดค่ะ ไม่ว่าจะทาลิปสติกแบบไหน เวลาล้างทำความสะอาด ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับริมฝีปากโดยเฉพาะ เช็ดอย่างอ่อนโยน ไม่ขัดถู การล้างลิปสติกออกไม่หมดอาจก่อให้เกิดปัญหาปากดำคล้ำตามมาได้ค่ะ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะปวดหัวและรำคาญใจ จะอะไรกันนักหนายะ แค่ทาปาก ส่วนตัวเกรซเองก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะปากได้รูปอยู่แล้ว ฮ่าๆ พูดเล่นค่ะ เนื่องจากปกติแต่งตาเต็ม ดังนั้นปาก จึงไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ เอาแบบสีสวย เบาๆ เข้ากับโทนการแต่งหน้าของวันนั้นก็พอ แต่ถ้าวันไหนไม่แต่งตา กรีดแต่อายไลเนอร์แล้วทาปาก ถึงจะค่อยปราณึตบรรจงกับการทาปากหน่อยนึง
ลิปสติกสีไหนสวยค่ะ 
 จริงๆมันก็มีหลักอยู่นะคะว่า ดูจากอันเดอร์โทน หรือพื้นผิวเราว่า อมชมพูหรืออมเหลืองหรือน้ำตาล ก็ควรจะเลือกสีลิปสติกให้มีสีของพื้นผิวเราผสมอยู่ด้วย เช่น ผิวอมชมพู ถ้าจะทาสีส้ม ก็อาจจะเลือกเป็นส้มอมชมพู หรือผิวคล้ำจะทาสีชมพูก็อาจเลือกเป็นสีชมพูอมน้ำตาล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็คือหลักการ แม้แต่ตามเวปไซต์ หรือบล็อคต่างๆที่สาวๆเค้าเข้าไปแชร์กันว่า สีนั้นสีนี้สวย คุณทาแล้วอาจจะไม่สวยก็ได้ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องไปลองเองค่ะ ของเกรซสีที่ชอบมากๆก็คือ

กลอสแท่งโปรด สี lust ของ M.A.C เป็นสีส้มนู้ด
ลิปสติกคู่บุญ see sheer สีออกพีช

ลิปพาเลตท์
แม้สารรูปจะเยินมาก แต่ก้อ  Dior นะจ้ะ อย่ามา
ข้อดีของพาเลตต์คือ  มันมีหลายสีดี ผสมกันไปมาได้ และ การที่เจ้าของแบรนด์เค้าเลือกสีเหล่านี้มาลงพาเลตท์ เค้าคงคิดมาแล้วแหละค่ะว่าสีนี้เด็ด 
แต่ถ้าคุณมีลิปสติกอยู่แท่งนึงที่ทาแล้วไม่ค่อยสวย  หรือเบื่อกับสีเดิมๆ ก็อาจเอามาผสมกับสีอื่นๆ เป็นลิปสติกสีใหม่ ตัวอย่างเช่น
ส้มผสมน้ำตาล เป็น ส้มอมน้ำตาล
แดงอมม่วง มาจากสีแดงผสมสีม่วง
หรือเอามาผสมกับวาสลีนทำเป็นลิปมันเจือสี หรือเอามาทำเป็นรูจทาแก้ม ลิปสติกบางสีทาปากไม่สวย แต่พอลองนำมาทาแก้มแล้วสวยก็มี
วันไหนตื่นขึ้นมาแล้วไม่ค่อยสดชื่น รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ลองเปลี่ยนสีลิปสติก และเปลี่ยนสีสันของเสื้อผ้าดูนะคะ เผื่อคุณจะได้ค้นพบคุณคนใหม่ ที่สดใสกว่าเดิม  แล้วพบกันใหม่ค่ะ